ปัญหาเท้าในคนไข้อัมพาตครึ่งซีก ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยเดินไม่ได้
ปัญหาเท้าในคนไข้อัมพาตครึ่งซีกเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก
นอกจากที่จะเกิดขึ้นจากการเกร็งและความตึงตัวของกล้ามเนื้อแล้วก็ยังเกิดจากการดูแลและการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ปัญหาเท้าผิดรูปเป็นอย่างไรและเราจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง บทความนี้มีคำแนะนำ
ปัญหาเท้าที่พบในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกมีอะไรบ้าง
ปัญหาเท้าในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกมีหลายรูปแบบ
แต่แบบที่เราเจอบ่อย ๆ มี 5 รูปแบบซึ่งเราจะเรียงตามลำดับความรุนแรงจากน้อยไปหามากดังนี้
-
Foot drop: ปลายเท้าตกจากกล้ามเนื้อ
tibialis anterior อ่อนแรง
-
Claw toe and Hammer toe: เท้าจิก หงิกงอจากกล้ามเนื้อนิ้วเท้าตึงรั้ง
-
Equinus Deformity: ปลายเท้าจิกลงทำให้ส้นเท้าลอยจากพื้น
จากกล้ามเนื้อน่องที่ตึงมากเกินไป
-
Equinovarus deformity: เท้างุ้มลงและบิดเข้าด้านในซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อน่องหดเกร็งและกล้ามเนื้อ
tibialis post ดึงปลายเท้าให้เข้าด้านใน
- Dorsiflexion Deformity: ปลายเท้าหงายขึ้นมากกว่าปกติ เกิดจากกล้ามเนื้อน่องอ่อนแรง หรือเส้นเอ็นหลังเท้าตึง
แล้วเท้ามีความสำคัญอย่างไรบ้าง
ทำไมเท้าที่มีปัญหาถึงสร้างปัญหาให้กับคนไข้อัมพาต
ต้องเข้าใจก่อนว่าในการยืนและการเดิน
เท้าคือส่วนแรกของร่างกายที่สัมผัสพื้น
เท้าที่มีปัญหาผิดปกติจะส่งผลกระทบต่อร่างกายทุกส่วนที่อยู่ด้านบน
ไม่ว่าจะเป็นการปวดที่เท้าและข้อเท้าโดยตรงหรือปวดตามข้อต่อต่าง ๆ เช่นเข่า
สะโพกหรือหลัง นอกจากนี้เท้าที่ผิดปกติยังทำให้คนไข้รู้สึกไม่มั่นคงในเวลาเดินและมีความเสี่ยงที่คนไข้จะเกิดอุบัติเหตุหรือหกล้มได้ง่าย
เราจึงควรให้ความสำคัญกับเท้าตั้งแต่ในระยะแรก ๆ
เท้าที่ผิดปกตินี่มันมีสัญญาณเตือนก่อนล่วงหน้าไหม
หรือว่าพอป่วยเป็นอัมพาตครึ่งซีกแล้วเท้าจะผิดปกติทันทีเลย
จริงๆ
แล้วเท้าที่ผิดปกติมักจะเกิดขึ้นภายหลัง โดยมันจะค่อยๆ
เกิดความผิดปกติขึ้นมาทีละน้อย ดังนั้นหากเราเริ่มเห็นสัญญาณของเท้าเช่นเริ่มเห็นเท้าจิกก็ต้องรีบแก้ไขทันที
แต่จริง ๆ แล้วต้นเหตุหลักของเท้าผิดรูปที่เรามักพบได้บ่อยก็คือการเดินที่ผิดปกติ
การลงน้ำหนักที่ผิดปกติจนผู้ป่วยมีการเกร็งของกล้ามเนื้อขาและเท้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ และพัฒนาจนกลายมาเป็นเท้าที่ผิดปกติได้
แต่สาเหตุอื่น
ๆ ก็มีเช่นผู้ป่วยที่นอนติดเตียงเป็นเวลานานก็มีโอกาสทำให้เท้าผิดปกติได้เช่นกัน
แล้วเราจะแก้ปัญหาเท้าผิดปกติได้อย่างไรบ้าง
เราจะแบ่งเป็น
2 ระยะคือ
-
ระยะเริ่มแรกที่มีสัญญาณเตือนคือญาติ
ครอบครัวหรือคนไข้เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของเท้าตนเอง ในระยะแรกนี้ในทางกายภาพบำบัดเรามักจะใช้การยืดกล้ามเนื้อรวมถึงการยืดที่ตัวข้อต่อเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหา
รวมถึงการจัดน้ำหนักทั้งในท่ายืนและเดินของผู้ป่วยให้ถูกต้องก็จะช่วยแก้ไขปัญหาในระยะเริ่มแรกนี้ได้
นอกจากนี้ก็ให้เริ่มป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติทันทีหลังจากที่ทำการแก้ไขความผิดปกติไปแล้ว
-
ระยะที่เกิดความผิดปกติขึ้นแล้ว
เราจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือหากเกิดความผิดปกติที่มากเกินไปและทางกายภ่าพบำบัดประเมินแล้วว่าไม่สามารถใช้วิธีการทางกายภาพบำบัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติได้
ในกรณีนี้ก็มักจะแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของเราต่อไป
ส่วนในกรณีที่แม้จะมีความผิดปกติเกิดขึ้นแต่หากประเมินแล้วว่าทางกายภาพบำบัดยังสามารถช่วยได้
ก็ยังคงต้องใช้วิธีการยืดกล้ามเนื้อรวมถึงการยืดที่ตัวข้อต่อเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหา
รวมถึงการจัดน้ำหนักทั้งในท่ายืนและเดินของผู้ป่วยให้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยอย่าง
AFO เพื่อช่วยบังคับตำแหน่งของเท้าให้กลับมาสู่ตำแหน่งที่ปกติ
แต่การแก้ไขปัญหาเท้าที่ผิดปกติแล้วจะใช้ระยะเวลาในการแก้ไขที่นานกว่าและคนไข้บางรายก็ไม่สามารถกลับมามีเท้าที่เป็นปกติได้แต่ก็ยังพอให้คนไข้สามารถเดินได้โดยไม่เกิดอันตราย
ปัญหาของเท้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งตัวของผู้ป่วยและครอบครัวจำเป็นต้องให้ความสำคัญและควรป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติตั้งแต่แรก
เพราะการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นนั้นง่ายกว่าที่จะปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วและมาทำการแก้ไขในภายหลัง